ประวัติสโมสร ลิเวอร์พูล สโมสรที่ยิ่งใหญ่และมีประวัติอันยาวนาน
จอห์น ฮูลดิ้ง เป็นผู้ก่อตั้งสโมสรลิเวอร์พูล ก่อนจะเช่าพื้นที่บริเวณ แอนฟิลด์ เพื่อใช้สร้างสนามฟุตบอล พร้อมกับให้เอฟเวอร์ตัน เช่าเป็นสนามแข่ง ก่อนที่ลิเวอร์พูล จะก่อตั้งขึ้นอย่างเป็นทางการในชื่อลิเวอร์พูล เอฟซี ในเดือนมีนาคม 1892 และเมื่อทีมเอฟเวอร์ตันได้เข้าสู่สมาชิกฟุตบอลลีก ด้าน จอห์น ฮูลดิ้ง พยายามจะเข้าไปบริหารงานในทีมเอฟเวอร์ตันและได้เพิ่มค่าเช่าสนามที่ทีมได้เช่าอยู่ ฝ่ายกลุ่มบริหารของเอฟเวอร์ตันจึงยกเลิกสัญญาเช่าสนาม และทีมเอฟเวอร์ตันได้ย้ายสนามไปอีกฝากของสวนสาธารณะ สแตนลีย์พาร์ค เพื่อไปสร้างสนามเป็นของตัวเองโดยใช้ชื่อสนามว่า กูดิสันพาร์ค
หลังจากก่อตั้งได้ไม่นาน ลิเวอร์พูลกลายเป็นสโมสรแนวหน้าของอังกฤษอย่างรวดเร็ว จนประสบความสำเร็จเป็นแชมป์ลีกสูงสุดของประเทศครั้งแรกในฤดูกาล 1900/01 และครั้งที่สองใน ฤดูกาล 1905/06 ก่อนจะเป้นแชมป์สองฤดูกาลติดต่อในซีซั่น1921/22 กับ 1922/23 จากนั้นเป็นแชมป์ลีกสูงสุดครั้งที่ 5 ในฤดูกาล 1946/47 อย่างไรก็ตามซีซั่น 1953/54 ลิเวอร์พูลพบกับช่วงตกต่ำต้องไปเล่นในในดิวิชัน 2 จึงได้เกิดการเปลี่ยนแปลงใน ด้วยการแต่งตั้ง บิลล์ แชงก์คลี่ย์ เป็นผู้จัดการทีมในปี 1959
เขาได้เข้ามาบูรณะทีมใหม่หมด ด้วยการโละนักเตะออกถึง 24 ราย พร้อมกับปรับโครงสร้างภายใสห้องแต่งตัว ให้มีความทันสมัยมากขึ้น พร้อมกับก่อตั้ง "บูท รูม สตาฟฟ์" ชุดแรกขึ้นมา นำโดย โจ เฟแกน, รูเบ็น เบนเน็ตตื และ บ็อบ เพรียสลี่ย์ จากนั้นจนประสบความสำเร็จได้เลื่อนชั้นในฤดูกาล 1961/62 และฤดูกาล 1963/64 พวกเขาก็ได้แชมป์ลีกสูงสุดของประเทศอีกครั้งใน หลังจากรอคอยมานานถึง 17 ปี
ปี 1965 แชงก์ลี่ย์ พาทีมคว้าแชมป์เอฟเอคัพ ทว่าไปพ่ายให้กับ โบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ ในศึกคัพ วิเนอร์ส คัพ รอบชิงชนะเลิศ อย่างไรก็ตาม "หงส์แดง" คว้าแชมป์ดิวิชั่น 1 อีกครั้งในฤดูกาลต่อมา ความสำเร็จของแชงก์ลียังเดินหน้าต่อไป เมื่อลิเวอร์พูลคว้าแชมป์ยูฟ่าคัพ พร้อมแชมป์ดิวิชั่น 1 ใน ฤดูกาล 1972/73 และเอฟเอคัพ อีกครั้งใน ฤดูกาล 1973/74 หลังจากนั้น แชงก์คลี ตัดสินใจลาออกจากตำแหน่ง ภายหลังที่อิ่มตัวกับความสำเร็จ ให้ผู้ช่วยของเขาสืบทอดตำแหน่ง ผู้จัดการทีมแทน นั่นคือ บ็อบ เพสลี่ย์
ในปี 1976 พาทีมเป็นแชมป์ลีกสูงสุด และแชมป์ยูฟ่า คัพ ในปีเดียวกัน นอกจากนี้ เพสลี่ย์ ยังพาทีมเป็นแชมป์ยูโรเปี้ยน คัพ เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ พ่วงด้วยแชมป์ดิวิชั่น 1 แต่น่าเสียดายที่มาพลาดท่าพ่ายในรอบชิงเอฟเอ คัพ 1977 จึงอดเป็นทริเปิ้ลแชมป์ ไปอย่างน่าเสียดาย จากนั้น "เร้ด แมชชีนส์" ยังคงสานต่อความยิ่งใหญ่อย่างต่อเนื่อง ด้วยการป้องแชมป์ยุโรปได้อีกสมัย ในปี 1978 จากนั้นลิเวอร์พูล กลับมาคว้าแชมป์ลีกในปี 1979 เท่ากับว่าตลอดเวลาที่ บ็อบ เพสลี่ย์ กุมบังเหียน ด้านลิเวอร์พูล รวบแชมป์เข้าตู้โชว์ถึง 21 รายการ แบ่งเป็นยูโรปเปี้ยน คัพ 3 ครั้ง, ยูฟ่า คัพ 1 ครั้ง, ดิวิชั่นหนึ่ง 6 ครั้ง และลีก คัพ 3 ครั้ง ซึ่งมีเพียงถ้วยเดียวที่ เพสลี่ย์ เอื้อมไม่ถึงก็คือถ้วยเอฟเอ คัพ
ยอดกุนซือระดับตำนาน ตัดสินใจวางมือในปี 1983 และก็เป็น โจ เฟแกน อดีตมือขวาขึ้นมาเป็นแม่ทัพ ซึ่งเพียงซีซั่นแรก เฟแกน ก็พาลิเวอร์พูล เป็นแชมป์ลีก, ลีก คัพ และ ยูโรเปี้ยน คัพ ส่งผลให้เฟแกน เป็นผู้จัดการทีมคนแรกที่พาทีมได้ 3 แชมป์ ในหนึ่งฤดูกาล อีกทั้งในฤดูกาล 1984-85 "หงส์แดง" ก็ผ่านเข้าไปถึงรอบชิงชนะเลิศศึกยูโรเปี้ยน คัพ ทว่าเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันขึ้น โดยหนึ่งชั่วโมงก่อนจะเริ่มเกม ความดุเดือดในสนามก็เริ่มสร้างปัญหาขึ้น แฟนบอลทั้งสองฝ่ายตะโกนยั่วโมโหกันไปมาผ่านรั้วลวดที่กั้นอยู่อย่างไม่แข็งแรงนัก หลังจากที่แฟนบอลฝั่งลิเวอร์พูลโดนปาสิ่งของกระหน่ำใส่ "เดอะ ค็อป" บางส่วนก็เข้าโจมตีแฟนบอลชาวอิตาเลียน เมื่อความวุ่นวายในสนามควบคุมไม่อยู่แล้ว แฟนยูเวนตุสก็รีบหนีไปทางกำแพงซึ่งได้พังทลายลงมาทับร่างของพวกเขา แฟนบอล 39 รายเสียชีวิตอยู่ตรงนั้นเอง เป็นชาวอิตาลีแฟนบอลยูเวนตุส 32 คน, เบลเยียม 4 คน, ฝรั่งเศส 2 คน และไอร์แลนด์ 1 คน
อย่างไรก็ตาม เกมยังคงดำเนินตามกำหนดการ ซึ่งลิเวอร์พูล เป็นฝ่ายแพ้ไป 0-1 จากโศกนาฏกรรมที่เกิดขึ้นครั้งนั้น ส่งผลให้สโมสรจากเกาะอังกฤษ ถูกแบนไม่ให้ร่วมลงเตะในรายการยุโรป 5 ปี ส่วน โจ เฟแกน ตัดสินใจลาออกจากตำแหน่ง และก็เป็น เคนนี่ ดัลกลิช ที่มารับไม้ต่อในบทบาทผู้เล่น-ผู้จัดการทีม โดยช่วงเวลาดังกล่าว สโมสรคว้าแชมป์ดิวิชั่น 1 ได้ 3 ครั้ง และเอฟเอ คัพ อีก 2 ครั้ง แต่สโมสรเหมือนต้องคำสาป เมื่อเกิดเหตุการณ์ภัยพิบัติฮิลส์โบโร เมื่อวันเสาร์ที่ 15 เมษายน ค.ศ. 1989
ระหว่างเกม เอฟเอ คัพ รอบรองชนะเลิศระหว่าง ลิเวอร์พูล กับ นอตติ้งแฮม ฟอเรสต์ ที่สนามฮิลส์โบโรของรังเหย้าของ เชฟฟิลด์ เวนส์เดย์ เนื่องจากมีคนแออัดเข้ามาชมเกมมากเกินความจุจึงทำให้ อัฒจันทร์ ยืนได้พังลงมาและทำให้มีผู้เสียชีวิตถึง 96 คนซึ่งทั้งหมดเป็นแฟนบอลของลิเวอร์พูลและมีผู้ได้รับบาดเจ็บมากถึง 766 คนหลังจากนั้นทาง สมาคมฟุตบอลอังกฤษ จึงได้ออกกฎให้ทุกสโมสรรื้ออัฒจันทร์ยืนออกให้หมด และสร้างอัฒจันทร์แบบนั่งแทนทำให้ยุคอัฒจันทร์แบบยืนสิ้นสุดลง
เคนนี่ ดัลกลิช ตัดสินใจทิ้งทีมไปแบบช็อกแฟนบอล ในปี 1991 โดยให้เหตุผลว่าทนแรงกดดันไม่ไหว และก็เป็น แกรม ซูเนสส์ ที่ขึ้นมาคุมทีมแทน พร้อมกับได้แชมป์เอฟเอ คัพ ปี 1992 ซึ่งก็เป็นโทรฟี่เดียวที่ ซูเนสส์ คว้ามาประดับตู้โชว์ ก่อนจะตัดสินใจลาออกจากตำแหน่งในปี 1994 พร้อมกับแต่งตั้ง รอย อีแวนส์ มาเป็นหัวเรือใหญ่ และก็หยิบแชมปืลีก คัพ มาครองในปี 1995 ทว่าภาพรวมในยุค อีแวนส์ ไม่สู้ดี ทำให้ผู้บริหารตัดสินใจดึงเชราร์ อูลิเย่ร์ เข้ามาเป็นกุนซือร่วม ในฤดูกาล 1998-99 ก่อนที่ อีแวนส์ จะติดสินใจก้าวลงจากตำแหน่ง ส่งผลให้ "เฮียโปน" กลายเป็นผู้จัดการทีมอย่างเต็มตัว
อูลิเย่ร์ พาลิเวอร์พูลคว้าแชมป์บอลถ้วยทั้งในระดับประเทศและระดับทวีปถึง 3 แชมป์ ได้แก่ลีกคัพ, เอฟเอคัพ รวมทั้งยูฟ่าคัพ ได้ในฤดูกาล 2000/01 ส่วนในซีซั่นถัดมา ลิเวอร์พูลยังคว้าถ้วยยูฟ่าซูเปอร์คัพ ด้วยการเอาชนะ บาเยิร์น มิวนิค แชมป์ยูฟ่า แชมเปียนส์ลีก ในปีนั้น รวมทั้งเอาชนะ แมนฯ ยูไนเต็ด คู่ปรับตัวฉกาจในถ้วยแชร์ลิตี้ ชิลด์ ทว่าเทรนเนอร์ชาวฝรั่งเศส เจอปัญหาด้านสุขภาพเล่นงาน จึงต้องถูกส่งตัวเข้ารับการผ่าตัดใหญ่ ระหว่างฤดูกาล 2001-02 แต่ซีซั่นดังกล่าว "หงส์แดง" จบด้วยการเป็นรองแชมป์ ส่วนตำแหน่งแชมป์ตกเป็นของอาร์เซน่อล
ในฤดูกาล 2003-04 อูลิเย่ร์ ตัดสินใจลงจากเก้าอี้กุนซือ พร้อมกับส่งไม้ต่อให้กับราฟาเอล เบนิเตซ เฮดโค้ชจากแดนกระทิงดุ ถึงแม้ปีแรกกับ "เอลบอส" จะค่อนข้างน่าผิดหวังหากมองจากอันดับตารางในพรีเมียร์ลีก ซึ่งจบด้วยการรั้งอันดับ 5 อย่างไรก็ตามแฟนบอลทั่วโลกได้ลืมความเจ็บปวดไปหมดสิ้น เมื่อผู้จัดการทีมหน้าเปื้อนหนวด นำ "หงส์แดง" ผงาดเป็นแชมป์ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ไปอย่างยิ่งใหญ่ โดยอบชิงชนะเลิศ เป็นการแข่งขันที่ตื่นตาตื่นใจครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์บอลยุโรป เมื่อลิเวอร์พูลไล่ตีเสมอทีม เอซี มิลาน เป็น 3-3 ทั้งที่โดนยิงนำไปก่อนถึง 3-0 และในที่สุด ก็คว้าแชมป์มาได้จากการยิงจุดโทษชนะ 3-2 เป็นทีมจากอังกฤษที่ครองถ้วยยูโรเปียนคัพ (ปัจจุบันคือ ยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก) มากครั้งที่สุดถึง 5 สมัย
ผู้เล่นที่สำคัญในยุคนั้น ก็มี สตีเวน เจอร์ราร์ด, ชาบี อาลองโซ, ดีทมาร์ ฮามันน์, วลาดิเมียร์ ซมิเซอร์, เจอร์ซี ดูเด็ค และ เจมี คาร์ราเกอร์ ในฤดูกาลต่อมา (2005/06) ลิเวอร์พูลของเบนิเตซทำให้แฟนบอลต้องลุ้นอีกครั้ง ในนัดชิงเอฟเอคัพ เมื่อต้องอาศัยลูกยิงมหัศจรรย์ของ สตีเวน เจอร์ราร์ด ในช่วงทดเวลาบาดเจ็บตามตีเสมอ เวสต์แฮม ยูไนเต็ด 3-3 ในช่วงทดเวลาบาดเจ็บ ซึ่งต้องลากยาวมาจนถึงฏีกาอีกครั้ง และ "หงส์แดง" ก็สามารถชนะไปได้ 3-1 เป็นแชมป์สำคัญรายการล่าสุดที่ลิเวอร์พูลทำได้ แต่รายการที่แฟนบอลต้องการมากที่สุดคือแชมป์ลีกของประเทศ หรือพรีเมียร์ลีกในปัจจุบัน ซึ่งปีล่าสุดที่ลิเวอร์พูลคว้ามาได้คือ ซีซั่น 1989/90
จากนั้นในฤดูกาล 2006-07 ทีมจากเมอร์ซี่ย์ไซด์ เข้าสู่ยุคแห่งการเปลี่ยนแปลง หลังจานายทุนชาวอเมริกันอย่าง จอร์จ ยิลเล็ตต์ กับ ทอม ฮิคส์ เข้ามาเทคโอเวอร์สโมสร ด้วยมูลค่าสูงถึง 218.9 ล้านปอนด์ (ประมาณ 9850 ล้านบาท) โดยปีดังกล่าว ลิเวอร์พูล ทะยานเข้าชิงยูซีแอล อีกครั้ง ซึ่งโคจรมาเจอกับคู่ปรับเก่าอย่างเอซี มิลาน แต่คราวนี้เป็นฝั่ง "ปิศาจแดงดำ" แก้แค้นเอาชนะไป 2-1 ส่วนในซีซั่นถัดมา (2008-09) ลิเวอร์พูล เก็บไปได้ถึง 86 คะแนน กลายเป็นสถิติสูงที่สุดของสโมสร นับตั้งแต่เปลี่ยนมาเป็นพรีเมียร์ลีก ทว่าตัวเลขดังกล่าส กลับไม่ดีพอที่จะส่งพวกเขาเป็นแชมป์ เมื่อแมนฯ ยูไนเต็ด เป็นฝ่ายเบียดเข้าป้ายคว้าแชมป์ลีกไปครองอย่างเจ็บปวด
ในฤดูกาล 2009-10 ลิเวอร์พูล ฟอร์มตกอย่างน่าใจหาย ภายหลังที่จบที่อันดับที่ 7 ในพรีเมียร์ลีก ซึ่งหมดสิทธิ์ไปแข่งขันในรายการ ยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก ทำให้เบนิเตซต้องลาออกจากตำแหน่งด้วยความยินยอมของทั้งสองฝ่าย และถูกแทนที่แทนที่โดย รอย ฮอดจ์สัน อดีตผู้จัดการทีมฟูแลม ในช่วงเริ่มต้นฤดูกาล 2010–11 สโมสรลิเวอร์พูลนั้นเสี่ยงต่อการล้มละลาย เนื่องจากแบกรับหนี้สินเป็นจำนวนมากจากการทำงานของ จอร์จ ยิลเลตต์ และ ทอม ฮิกส์ ส่งผลให้ จอห์น ดับเบิลยู เฮนรี เจ้าของทีม บอสตัน เรด ซ็อกซ์และนิว อิงแลนด์ สปอร์ตส์ เวนเจอร์ส อาศัยช่องฏว่ดังกล่าว เข้ามาฮุบกิจการต่อจากสองเจ้าของเดิม แบบสายฟ้าแล่บ ซึ่งเรื่องไม่จบง่ายๆ เมื่อ ยิลเล็ตต์ และ ฮิคส์ ไม่ยินยอม จนเป็นเรื่องราวฟ้องร้องในเวลาต่อมา
ช่วงเดือนตุลาคม 2010 ผลการแข่งขันที่ย่ำแย่ในช่วงต้นฤดูกาล ทำให้ฮอดจ์สัน ลาออกจากตำแหน่ง โดยมี เคนนี ดัลกลิช กลับมาคุมทีมอีกครั้ง โดยในฤดูกาล 2011-12 "คิงเคนนี่" สามารถพาทีมคว้าแชมป์ลีก คัพ สมัยที่แปดได้สำเร็จ จากการยิงจุดโทษชนะ คาร์ดิฟฟ์ ซีตี้ ทว่าเมื่อสิ้นสุดฤดูกาล 2011-12 ลิเวอร์พูลจบที่อันดับที่ 8 ในพรีเมียร์ลีก ซึ่งเป็นการจบอันดับที่แย่ที่สุดในรอบ 18 ปี ทางสโมสรตัดสินใจปลดดัลกลิชออกจากตำแหน่ง เมื่อวันที่ 1 มิถุนายน พ.ศ. 2012 จากนั้นทางสโมสรได้ประกาศแต่งตั้ง เบรนแดน ร็อดเจอส์ อดีตผู้จัดการทีมสโมสร สวอนซี ซิตี้ เป็นแม่ทัพคนใหม่
อดีตถึงปัจจุบัญ
ขอบคุณ siamsport
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น